เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑๑ ธ.ค. ๒๕๕๙

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑๑ ธันวาคม ๒๕๕๙
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจฟังธรรมเนาะ ฟังธรรมเป็นปัจจุบันนี้ สิ่งที่ปัจจุบันนี้มาจากอดีต เรามาจากอดีตใช่ไหม เรามีครูบาอาจารย์ปกป้องคุ้มครองดูแลเรามา ถ้าปกป้องคุ้มครองดูแลเรามา เราพยายามฝึกฝนของเราในปัจจุบันนี้ให้เรามีหูมีตา ถ้ามีหูมีตาขึ้นมา ในหัวใจของเรามันสว่างกระจ่างแจ้งแล้วมันจบไง ถ้าหัวใจเราไม่สว่างกระจ่างแจ้ง เราก็ยังวิตกกังวลของเราไปเรื่อย วิตกกังวลนะ เราวิตกกังวล เราก็สงสัยในธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

เมื่อวานพูด กรรมจำแนกสัตว์ให้เกิดต่างๆ กัน กรรมจำแนกสัตว์ให้เกิดต่างๆ กัน มันจำแนกสัตว์ให้เกิดต่างๆ กัน ถ้าการเกิดแตกต่างกัน แต่แตกต่างกันมันเป็นอดีตไง อดีตสิ่งที่เราสร้างสมมา แต่ในปัจจุบันนี้ ในปัจจุบันนี้ดูเวลาเราเกิดมาในบ้านของบ้านคนหนึ่ง ในบ้านของเราถ้ามีคนแบบว่ามันไม่มีความเห็นด้วย มันก็ขัดแย้งไปในใจ

เวลาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ อนันตริยกรรม การฆ่าบิดามารดาเป็นอนันตริยกรรมเลย แต่อนันตริยกรรม เวลาคนในบ้าน ถ้าคนในบ้านสติไม่สมบูรณ์ขึ้นมา เวลาเขาทำร้ายพ่อแม่เขาล่ะ ถ้าเวลาคนเขาติดยาเสพติดเขาถึงฆ่า แล้วเวลาคนขาดสติอยู่ในบ้านของเรา ในบ้านของเรามันเป็นเครือญาติกัน เป็นเครือญาติกัน เราต้องมีสติปัญญา เราต้องมีสติปัญญา แต่ความผิดพลาดมันเกิดได้ตลอดเวลาไง ใครจะระวังได้ตลอดเวลา

เวลากรรมจำแนกสัตว์ให้เกิดต่างๆ กัน เวลามันเกิดมา เกิดมาร่วมเวรร่วมกรรมด้วยกันมา ถ้าเกิดร่วมเวรร่วมกรรมกันมา สิ่งนั้นที่มันเป็นมานี่เป็นเรื่องเป็นเวรเป็นกรรม ถ้าเป็นเวรเป็นกรรมขึ้นมา เราเกิดมาในปัจจุบันนี้ ในปัจจุบัน ในปัจจุบัน คำว่า “ปัจจุบัน” เราได้ศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราเกิดมา ดูสิ ทางโลกเขา ถ้าเขาอยู่ในเหตุการณ์อย่างนั้น มันระอาใจ มันหนักหนาสาหัสสากรรจ์ แต่ความหักหนาสาหัสสากรรจ์ถ้ามันมีธรรมโอสถๆ ถ้าธรรมโอสถ ศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้ามีสติปัญญานะ ถ้ามันเห็นสภาวะแบบนี้ จิตใจมันไม่วิตกกังวลจนเกินไป คำว่า “จิตใจไม่วิตกกังวลจนเกินไป” มีสติปัญญา มันแก้ไขเหตุการณ์อย่างนี้ได้ มันแก้ไขอย่างนี้ไป

เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวรนะ เราไม่จองเวรจองกรรมใครอีกต่อไป เราไม่ผูกเวรผูกกรรมไปกับใคร แต่ในเมื่อมันมีเวรมีกรรมต่อกันมา เราบริหารจัดการของเรา ถ้าบริหารจัดการของเรา บริหารจัดการข้างนอกด้วยการชดใช้ คำว่า “ชดใช้” เราก็ตอบสนองไปตามสถานะอย่างนั้น

แต่ถ้ามันจะชดใช้ตามความเป็นจริง ว่าแก้กรรมๆ มันจะไปแก้กรรมที่ไหน เวลาแก้กรรม เขาแก้กรรมกันไป เวลามันแก้กรรมมันก็มีกรรมใหม่เกิดขึ้นตลอดไป กรรมใหม่ กรรมเก่า มันมีของมันตลอดไป

แต่ถ้าการแก้กรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าแก้กรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กลับมานั่งทำความสงบของใจ ถ้าใจมันสงบระงับเข้ามาแล้ว ถ้าใจสงบระงับเข้ามาแล้ว ถ้ามันมีสติปัญญาขึ้นมามันถอดถอนกิเลสในใจของตน ถ้าถอดถอนกิเลสในใจของตน ถอดถอนกิเลสในใจของตนมันสิ้นเวรสิ้นกรรม คำว่า “สิ้นเวรสิ้นกรรม” กรรมตามไม่ถึง กรรมตามไม่ได้ เวลาพระโมคคัลลานะ โจรทุบตายๆ นั่นก็เศษกรรม

คำว่า “เศษกรรมๆ” เวลาเขาตามมา มันทำลายแต่ร่างกายของพระโมคคัลลานะได้ แต่ทำลายหัวใจของพระโมคคัลลานะไม่ได้ เพราะพระโมคคัลลานะเป็นพระอรหันต์ไปแล้ว คำว่า “เป็นพระอรหันต์ไปแล้ว” มันสิ้นเวรสิ้นกรรมกันไปใช่ไหม ถ้ามันไม่สิ้นเวรสิ้นกรรมกันไป มันมีเวรมีกรรมต่อกัน ถ้ามีเวรมีกรรมต่อกัน อยู่ที่ธรรมโอสถเรานี่ อยู่ที่สติปัญญาของเราจะแก้ไขอย่างไร จะแก้ไขอย่างไร จะทำใจของเราอย่างไร

ถ้าไม่ทำใจของเรา ทำใจของเราไม่ได้ เราเอาน้ำมันราดเข้าไปในกองไฟนะ ในหัวใจมันมีกิเลสตัณหาความทะยานอยาก ไฟมันลุกโพลงอยู่กลางหัวใจ แล้วก็มีแต่น้ำมันราดเข้าไป น้ำมันราดเข้าไป แล้วจะไปแก้กรรมที่ไหนล่ะ ถ้าไปแก้กรรมที่ไหน เขาบอกว่าแก้กรรม

เราแก้กรรมด้วยธรรมโอสถ เราแก้กรรมด้วยสติปัญญาของเรา เราแก้ไขชีวิตของเราไป ถ้าชีวิตของเรา เราแก้ไขของเราไป สิ่งที่เราแก้ไข ถ้าเราแก้ไข แล้วเวลาสิ่งใดเกิดขึ้นเรายิ้มรับกับสิ่งนั้น ยิ้มรับกับสิ่งนั้นเพราะเหตุใด

กรรมคือการกระทำ ถ้าเราไม่ทำสิ่งใด เราไม่มีการบาดหมางใคร สิ่งนั้นมันเกิดขึ้นมาไม่ได้ แล้วสิ่งที่เกิดขึ้นมาไม่ได้ ถ้ามันเป็นกรรมเก่าๆ เราไม่ทำใครเลย คนนั้นเป็นคนดีแสนดีเลย แต่ทำไมเขาโดนลอบทำร้ายๆ ถ้าโดนลอบทำร้าย มันมีเหตุมีผลของมันทั้งนั้นน่ะ คำว่า “มีเหตุมีผล” แต่กรรมนี้เป็นอจินไตย

เวลาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อจินไตยมี ๔ นะ มีพุทธวิสัยคือสติปัญญาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่มีใครรอบรู้ได้เท่าทันองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

เรื่องโลก โลก ความเปลี่ยนแปลงนี่เป็นอจินไตย เราคิดไป เราจินตนาการไป มันมีการเปลี่ยนแปลงของมันตลอด ใครคาดไม่ถึงหรอก

เรื่องของฌาน เรื่องของฌาน เรื่องของสมาธิ เรื่องของความรู้สึกของคนมันแตกต่างหลากหลายมาก เพราะคนเราสร้างเวรสร้างกรรมมาแตกต่างกันมาก ถ้าสร้างเวรสร้างกรรมแตกต่างกันมา การกระทำขึ้นมามันกว้างขวางมาก เป็นอจินไตยเลย

แล้วก็เรื่องกรรม เรื่องกรรมเป็นอจินไตยเพราะเหตุใด เป็นอจินไตยเพราะมันซับซ้อน มันซับซ้อนนะ ธรรมบทๆ ที่พระไปปฏิบัติกับภิกษุณีใช่ไหม ที่ภิกษุณีทำให้จนสำเร็จเป็นพระอรหันต์ แล้วระลึกถึงคุณของเขา ระลึกถึงคุณของเขา กำหนดดู ดูไปทีไรมันคอตกทุกที เพราะโดนภิกษุณีฆ่า ฆ่ามา ๙๙ ชาติ

ทีนี้ภิกษุณีท่านก็มีฤทธิ์ไง บอกขอ ขอให้ย้อนกลับไปอีกข้างหนึ่ง ชาติที่ ๑๐๐ พระไปฆ่าเขาไว้ เขากลับมาตามฆ่าอีก ๙๙ ชาติ แต่พอชาติสุดท้ายมาเกิด มาบวชพระ ผู้หญิงบวชเป็นภิกษุณี สำเร็จทั้งคู่ไง สำเร็จทั้งคู่

เวลาสำเร็จทั้งคู่ แต่ย้อนไป สิ่งที่มันซับสมมา ซับซ้อนมาๆ แต่ซับซ้อนมาขนาดไหนมันก็มีทั้งบวกและลบ มีทั้งดีและชั่ว คำว่า “ทำชั่ว” ใครๆ ก็ไม่ต้องการทั้งนั้น แต่คนมันขาดสติไง บางคนมันขาดสติ มันทำสิ่งใดไปโดยกิเลสตัณหาความทะยานอยากมันลุกโพลงขึ้นมา ยับยั้งชั่งใจไม่ได้

ถ้ายับยั้งชั่งใจไม่ได้ ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สพฺเพ สตฺตา สัตว์ทั้งหลายเป็นเพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น จงเป็นสุขๆ เถิด อย่าได้เบียดเบียนซึ่งกันและกันเลย จงเป็นสุขๆ เถิด เราได้ไหม เวลาเราเห็นคนทำคุณงามความดีแล้วเราอนุโมทนากับเขาได้ไหม ถ้าเราเห็นคนทำคุณงามความดี คนที่ทำคุณประโยชน์กับประเทศชาติ เราอนุโมทนาไปกับเขา เราอนุโมทนานั่นเป็นบุญกุศลนะ อนุโมทนาทานไง เห็นคนทำคุณงามความดี เราชื่นชมไปกับเขาๆ ถ้าเขาทำคุณประโยชน์ ถ้าเขาทำคุณประโยชน์ แต่กิเลสเรามันไม่ยอมรับ ไม่ค่อยยอมรับ ไม่ค่อยยอมรับ ว่าอย่างนั้นเลย มันยอมรับได้ยาก ยอมรับได้ยาก

นี่ไง ไม่ต้องทำสิ่งใดเลย เห็นเขาทำคุณงามความดีก็อนุโมทนาไปกับเขา ก็ชื่นชมไปกับเขา แล้วเวลาของเราล่ะ เวลาของเรา สิ่งใดที่มันขัดแย้งในหัวใจ เราต้องมีสติปัญญาเท่าทันในใจของเรา

เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร เราไม่จองเวรจองกรรมใครทั้งสิ้น แต่คำว่า “ไม่ไม่จองเวรไม่จองกรรม” แล้วเราไม่ใช่ซื่อบื้อ คำว่า “ไม่จองเวรไม่จองกรรม” แต่เราก็ต้องบริหารจัดการใช่ไหม ไม่ให้เราเป็นเหยื่อ ไม่ให้เราเป็นเบี้ยล่างเขา ไม่ให้เขาเหยียบย่ำ เหยียบย่ำจนไม่มีทางออกไง

ไม่ใช่ว่า แล้วก็ซื่อบื้อนะ โอ๋ย! เราจะชดใช้กรรม นอนให้เขากระทืบเลยอย่างนี้ มันก็ไม่ใช่ มากระทืบ วิ่งหนีก่อน เราจะชดใช้กรรม แต่ไม่ให้กระทืบ วิ่งหนีเลย นี่มันต้องมีปัญญาสิ

คำว่า “มีปัญญา” เวลาเราศึกษาธรรมะ ศึกษาธรรมะแล้วก็เอาไปจินตนาการกัน บอกว่าเป็นลัทธิยอมจำนน เป็นความซื่อบื้อ เป็นการยอมรับ ยอมรับให้เขาเหยียบย่ำ...ไม่ใช่ เราแก้ไขของเรา เราป้องกันได้ คนเขาจะมาระรานเราก็หนีใช่ไหม เราก็หลบหลีกของเราไป เรามีปัญญา เราไม่ไปตอบโต้ แต่ถ้าเป็นกิเลส ศักดิ์ศรีมันไม่ยอม ไปปะทะกับเขา ไม่มีประโยชน์อะไรเลย มันปะทะกันแล้วมันมีเกิดอะไรขึ้นล่ะ

เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร เราไม่จองเวรจองกรรม เขาจะระรานเรา เราหลบเราหลีกของเราไป หลบหลีกด้วยสติปัญญานะ ไม่ใช่หลบหลีกด้วยความขี้ขลาด ไม่ได้หลบหลีก ถ้ามีสติปัญญามันหลบหลีก มีสติปัญญาป้องกันได้หมดเลย กองทัพเวลาเขาจะถอย เขาจะมีกองหลังป้องกันไว้ เวลาจะถอยทัพ เขาต้องมียุทธวิธี เขาไม่ใช่ถอยทัพโดยว่าเก็บของแล้ววิ่งหนีเลย ไม่มีเหลือ กองทัพแหลกลาญหมด เราจะป้องกันด้วยความไม่มีสติปัญญานะ ป้องกันไม่ได้ วิ่งหนีเขาให้เขาตามมาระราน

แต่การป้องกันมันก็ป้องกันด้วยสติด้วยปัญญา เราหลบเราหลีก เราป้องกันด้วยสติปัญญา ไม่ได้ป้องกันโดย คนที่ระรานเขา คนที่ทำลายเขาขี้ขลาดทั้งนั้นน่ะ คนขี้ขลาดตาขาวมันทำลายเขาก่อน แต่คนที่มีสติปัญญา เขามีสติยั้งคิด เขามีสติปัญญายั้งคิดแล้วเขาใช้วิธีการแก้ปัญหาของเขา

เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร เราไม่จองเวรจองกรรมใคร มันต้องฝึกไง ฝึกอย่างนี้ เวลาฝึกอย่างนี้ ฝึกไม่ได้ เหตุการณ์เฉพาะหน้า เราทนอะไรไม่ไหว ก็เราขาดการฝึกฝนไง

เวลาลูกศิษย์มาหาประจำ ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผมเข้าใจหมดเลย แต่ทำไมผมยั้งคิดไม่ได้เลย เงินเดือนออก ไปห้างสรรพสินค้า เงินหมดเกลี้ยงเลย ทั้งๆ ที่บอกว่าจะใช้ครบเดือนๆ

เราบอกว่ามันขาดการฝึกฝน เห็นไหม เรารู้ทั้งนั้นเลย เรารู้เลยว่าเงินเดือนควรใช้ชนเดือน เราควรจะทำประโยชน์กับเรา เราควรดำรงชีวิตของเรา แต่พอเงินเดือนออก เขาบอกไปแล้ว พอจ่ายหมดแล้วค่อยนึกได้ พอจ่ายหมด จ่ายหมดเลย อ้าว! แล้วสิ้นเดือนล่ะ กู้ ยืมเขา เป็นอย่างนี้ตลอด เขามาสารภาพเองว่าเขาก็รู้นะ

เราบอกว่ามันขาดการฝึกฝน ขาดการฝึกฝน เราก็เหมือนกัน ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราเข้าใจได้ทั้งนั้นน่ะ แต่เราขาดการฝึกฝน ธรรมะขององค์สมเด็พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ ปริยัติศึกษามา ศึกษามาเป็นความรู้ ความรู้เป็นความรู้ทรงจำธรรมวินัย ทรงจำธรรมวินัย ทรงจำธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะแตกฉานอย่างไรมันก็ทรงจำ จะปกป้องดูแล ใช่ ปกป้องดูแลที่ดี ปกป้องดูแลคนที่เหยียบย่ำ คนที่ทำลาย

แต่ถ้าครูบาอาจารย์ที่ท่านประกาศธรรมๆ คำว่า “ประกาศธรรม” ประกาศธรรมคือมันเอาสัจธรรมความจริงมาเผยแผ่ไง เห็นไหม ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านบอกว่าไม่มีในกำมือเรา ท่านเปิดเผยในหัวใจของท่าน เราต่างหากที่ไม่รู้ ไม่มีสติปัญญาเท่าทันกับความเป็นจริงอันนั้นน่ะ เราไม่รู้แล้วเรายังคาดหมายผิด แล้วเราก็หลงทางไป แล้วเราจะบอกว่าคนที่ไม่มีกำมือในเราเป็นความผิด ถ้ามันจะปกป้องก็ปกป้องคนที่ทำลาย ปกป้องคนที่ทำให้เสียหาย ปกป้องคนที่ทำให้ธรรมะคลาดเคลื่อนไป

แต่นี่ธรรมะมันคลาดเคลื่อนไปไหนล่ะ อัตตาก็เป็นอัตตา อนัตตาก็เป็นอนัตตา นิพพานก็เป็นนิพพาน ไม่เห็นเกี่ยวอะไรกันเลย คือมันไม่มีอะไรเกี่ยวกันสักเรื่องหนึ่ง เรื่องมันไม่เป็นเรื่อง แต่ไอ้คนโง่มันทำให้มันเป็นเรื่อง เพราะอะไร เพราะอยากอวดตน อวดตนว่าข้ารู้ พูดผิดๆ ถูกๆ ไปเรื่อย แล้วพอคำพูดนั้นมันก็กลับมารัดคอตัวไง เพราะเป็นคนพูดใช่ไหม

แต่หลวงตาท่านเป็นผู้ที่มาดับไฟไง ในเมื่อเขามีการขัดแย้ง มีการขัดแย้งกัน ก็บอกว่านิพพานก็เป็นนิพพาน มันเกี่ยวอะไรกับอนัตตา มันจะเป็นอนัตตาได้อย่างไร มันเป็นไม่ได้หรอก แล้วมันก็เป็นอัตตาไม่ได้ด้วย มันเป็นอะไรไม่ได้ทั้งสิ้นเลย เพราะมันเป็นนิพพาน มันไม่เกี่ยวกัน

อ้าว! มันไม่ได้เกี่ยวอะไรกันเลย มันเป็นคนละเรื่องเลย แต่ไอ้คนโง่เวลาพูดแล้วมันแสดงไง แสดงว่าอยากอวดรู้ อยากจะอวดว่าข้านี่สมองใหญ่ ต้องดองไว้เพราะมันเป็นสมองที่แปลกประหลาด แต่ครูบาอาจารย์ของเราไม่เป็นอย่างนั้น

มันไม่เป็นอะไรหรอก มันไม่มีสิ่งใดเลย ไม่มีสิ่งใดขัดแย้ง ไม่มีสิ่งใดที่จะเป็นโทษเลย มันเป็นคุณทั้งนั้นน่ะ เป็นคุณสำหรับผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ แต่มันเป็นโทษ เป็นโทษกับกิเลสไง กิเลสมันขัดมันแย้ง กิเลสมันไม่พอใจ กิเลสมันขัดแย้ง บอกฉันพูดถูก ฉันพูดถูก ไอ้ตรงข้ามนั่นพูดผิด

มันต้องพิสูจน์กันด้วยสัจจะความจริง มันต้องพิสูจน์โดยข้อเท็จจริง ถ้าข้อเท็จจริง ไม่ต้องทำอะไรเลย แกะเทปหลวงตาแล้วก็ส่งไปก็จบ ไม่ต้องทำอะไรเลย ไม่ต้องทำ เพราะคนทำไม่เป็น คนทำไม่รู้ อย่าสร้างปัญหา ยิ่งอธิบายออกไปยิ่งมีปัญหา แกะเทปอันที่หลวงตาพูดแล้วก็ส่งไปก็คือจบ จบ นี่คือสัจจะความจริง

มันไม่เป็นสิ่งใดเลย ถ้าพูดถึงผู้ที่จะปกป้องดูแล ทีนี้ปกป้องดูแล เราก็มาปกป้องดูแลหัวใจของเราไง หัวใจของเรา เราดูแลหัวใจของเรา เรามาวัดมาวา มาเพื่อวัดใจของเรา วัดใจของเราจริงๆ นะ ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประเสริฐมาก ประเสริฐมาก แต่มันมีแต่พวกนกแก้วนกขุนทอง มันมีแต่มดแดงเฝ้ามะม่วง ของกูๆ แต่ไม่มีใครได้ประโยชน์เลยนะ

หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านมาปฏิบัติของท่าน เวลาหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านทำของท่านนะ เวลาปฏิบัติกับหลวงปู่มั่น หลวงตาท่านพูดเอง เขียนแต่แง่บวก เขียนแต่สิ่งที่เป็นความสามัคคีธรรม สิ่งที่หลวงปู่มั่น ครูบาอาจารย์โดนกีดกัน โดนเกลียดชัง โดนต่างๆ ท่านบอกว่าไม่มีประโยชน์ ไม่เอามาพูด ท่านไม่พูดเลย นี่เวลาผู้ที่ว่ามดแดงเฝ้าพวงมะม่วงก็อยู่ มันก็ว่าของกูๆ แต่มันไม่รู้เรื่องเลย

หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านพยายามของท่าน ท่านขวนขวายของท่าน แล้วเวลาจะเป็นจริง มันเป็นจริงในใจของหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น มันไม่เป็นที่ไหนเลย มันเป็นในหัวใจนั้น มันเป็นโดยข้อเท็จจริงนั้น จากข้อเท็จจริงนั้น ท่านแสดงข้อเท็จจริงนั้นตามความเป็นจริงนั้น แล้วมันจะผิดพลาดไปไหนล่ะถ้าคนจริงพูดตามความเป็นจริง

แต่ถ้าคนไม่จริงพูด มันผิดหมดล่ะ เพราะความไม่จริงมันพูดมันถึงขัดแย้งกัน มันถึงมีปัญหากันไง แล้วเวลามดแดงมันก็ไม่รู้ว่ามะม่วงรสชาติมันเป็นอย่างไร มันก็ไม่รู้ มดแดงเฝ้าพวงมะม่วงมันไม่รู้จักรสชาติมะม่วงหรอก เวลาเขาพูดถึงรสชาติมัน มันยังไปกีดกันเขาอีก ไม่ให้พูด มันกีดดัน เขาไม่ให้พูดถึงรสชาติของมะม่วงไง

รสชาติของธรรม รสชาติของธรรมชนะซึ่งรสทั้งปวง ชนะหมดนะ ชนะสิ่งที่โลกนี้แสวงหา ๓ โลกธาตุ อย่าว่าแต่โลกนี้เลยนะ พรหม เวลาพรหมเขามีความสุขความสงบขนาดไหน ชนะหมดล่ะ ชนะรสชาติของสวรรค์ เทวดา อินทร์ พรหมทั้งหมด รสของธรรมชนะซึ่งรสทั้งปวง แล้วมันอยู่ที่ไหนล่ะ มันอยู่ในหัวใจของผู้รู้จริง มันอยู่ในนั้น มันเป็นความจริงอันนั้น แล้วท่านเอาธรรมนั้นมาเปิดเผย เอาธรรมนั้นมาเป็นการยืนยัน เพราะไม่ให้มันเขวไปไง เพราะมันจะเขวไป เพราะคนมันจะชักไปข้างซ้ายและข้างขวา ชักไปข้างใดข้างหนึ่ง อัตตาและอนัตตา ชักไปข้างหนึ่ง ท่านเข้ามาสู่สัจจะความจริง นิพพานคือนิพพาน เอวัง